บทที่
2 ฮาร์ดแวร์
คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องอุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์ชนิดหนึ่ง
ที่มีการทำงานแบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เหมือนสมองกล สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ
ทั้งที่ง่ายและซับซ้อนตามคำสั่งของโปรแกรม ขั้นตอนการทำงานจะประกอบด้วย การรับโปรแกรมและข้อมูลในรูปแบบที่เครื่องสามารถรับได้
และทำการประมวลผล โดยทำการเปรียบเทียบจนกระทั่งได้ผลลัพธ์
จากนั้นนำผลลัพธ์ที่ได้ไปแสดงผลที่อุปกรณ์แสดงผล เช่น จอภาพหรือเครื่องพิมพ์
เป็นต้น
จากความหมายจะเห็นว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ มีอุปกรณ์ที่สามารถทำงานได้ 3
อย่าง คือ
1)
รับโปรแกรมและข้อมูล โปรแกรมในที่นี้ หมายถึง
ชุดของคำสั่งที่จะให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ซึ่งเราเรียกว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ส่วนข้อมูลนั้นอาจจะเป็นตัวเลข หรือตัวอักษรที่ต้องการให้คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผล
2) ประมวลผล หมายถึง
การจัดระเบียบแบบแผนของข้อมูล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
ซึ่งทำได้โดยการคำนวณ เปรียบเทียบ
วิเคราะห์โดยใช้สูตรทางวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ วิธีการต่างๆ เหล่านี้
ทำได้โดยอาศัยชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่เขียนขึ้น
3) แสดงผลลัพธ์
คือการนำผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลเสร็จเรียบร้อย แสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ
ที่ผู้ใช้เข้าใจ และนำไปใช้ประโยชน์ได้
เครื่องคอมพิวเตอร์มีคุณลักษณะที่สำคัญ 6 ประการ คือ
1.
ทำงานโดยอัตโนมัติ เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำงานโดยอัตโนมัติตามโปรแกรมที่เขียนขึ้น
โดยในโปรแกรมนั้นจะบอกขั้นตอน
โดยละเอียดว่าจะให้อุปกรณ์ใดของคอมพิวเตอร์ทำงานอะไรและทำอย่างไรจึงจะได้ผลลัพธ์ตามต้องการ
2. ทำงานได้หลายด้าน
เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้เอนกประสงค์ตามโปรแกรมที่กำหนด
3.
เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ประกอบกันเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์
ถือว่าเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ต่างจากเครื่องจักรกลทั่วไป
เพราะเครื่องจักรกลหรือเครื่องยนต์เมื่อทำงานต้องมีการเคลื่นไหวของชิ้นส่วนต่าง ๆ
แต่สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น ทรานซิสเตอร์ วงจรไอซี และ ซีพียู ฯลฯ
จะทำงานโดยไม่เคลื่อนไหวเลย
4. เป็นระบบดิจิตอล
คำว่า ดิจิตอล มาจากคำว่า ดิจิต หมายถึงตัวเลข
เนื่องจากข้อมูลที่ป้อนเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์
ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขหรือตัวหนังสือ
จะถูกเปลี่ยนรหัสเป็นตัวเลขทั้งหมดก่อนที่เครื่องจะทำการประมวลผล
จึงเรียกเครื่องคอมพิวเตอร์ว่า "ดิจิตอลคอมพิวเตอร์"
5.
มีความรวดเร็วและถูกต้อง การทำงานของคอมพิวเตอร์ถูกต้องและรวดเร็ว
6.
มีหน่วยความจำภายในขนาดใหญ่
หน่วยความจำภายในมีหน้าที่เก็บโปรแกรมคำสั่งและข้อมูลไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์
เพื่อทำการประมวลผลตามคำสั่งตั้งแต่คำสั่งแรกจนถึงคำสั่งสุดท้าย
โดยไม่ต้องอาศัยมนุษย์ จนกระทั่งได้ผลลัพธ์ออกมาทางจอภาพหรือเครื่องพิมพ์
ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
หมายถึง อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์
ซึ่งจะทำหน้าที่แตกต่างกันไปตามคุณลักษณะของ องค์ประกอบพื้นฐานของคอมพิวเตอร์
ดังนี้
1) หน่วยรับเข้า ทำหน้าที่รับโปรแกรมและข้อมูล
เข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ โดยอาจส่งผ่านอุปกรณ์ รับเข้าข้อมูลโดยตรง เช่น เมาส์ ,
แผงแป้นอักขระ, ปากกาแสง, ก้านควบคุม ฯลฯ หรือส่งผ่านอุปกรณ์ รับเข้าข้อมูลทางอ้อม เช่น เครื่องขับ,
แผ่นบันทึก , เครื่องขับเทปแม่เหล็ก เป็นต้น
2) หน่วยประมวลผลกลาง หรือ
ไมโครโพรเซสเซอร์ ของไมโครคอมพิวเตอร์ มีหน้าที่นำคำสั่งและข้อมูล
เก็บไว้ในหน่วยความจำมาแปลความหมาย และ กระทำตามคำสั่งพื้นฐานของไมโครโพรเซสเซอร์
ซึ่งแทนได้ด้วยรหัสเลขฐานสอง ซึ่งประกอบด้วย หน่วยควบคุม หน่วยคำนวณและหน่วยตรรกะ
3) หน่วยส่งออก หรือหน่วยแสดงผล
ซึ่งประกอบด้วย จอภาพ (Monitor) ลำโพง (Speaker) และเครื่องพิมพ์ (Printer)
องค์ประกอบของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
แบ่งตามหน้าที่การทำงานได้เป็น 4 กลุ่ม คือ หน่วยรับข้อมูล หน่วยประมวลผลข้อมูล หน่วยความจำ
และหน่วยแสดงผลข้อมูล
1. หน่วยรับข้อมูล ได้แก่
- เมาส์ (Mouse) เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการสั่งโปรแกรมให้ทำงานได้ตามต้องการ
โดยทั่วไปจะเป็นตัวที่ใช้ควบคุมลูกศรให้เคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งต่างๆ บนจอภาพ
เหมาะสำหรับใช้งานเมื่อต้องเลือก หรือเลื่อนวัตถุต่างๆ บนจอ
ที่มา : http://www.siamget.com/buyerguide/286
- แป้นพิมพ์ (Keyboard) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลโดยการกดปุ่มที่แป้นพิมพ์
ที่มา : http://undocomputer.blogspot.com/2012/07/keyboard.html
2. หน่วยประมวลผลข้อมูล ได้แก่
- CPU (Central Processing Unit) ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลตามคำสั่งที่รับมาจากหน่วยรับข้อมูล
ประกอบด้วยหน่วยคำนวณและตรรกะ และหน่วยควบคุม
อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการแระมวลผล เรียกว่า ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor)
มีลักษณะเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งถูกติดตั้งไว้ในคอมพิวเตอร์
ที่มา : http://nutcomputer.blogspot.com/2011/05/cpu_22.html
3. หน่วยความจำ
หน่วยความจำจะแบ่งเป็น
2 ประเภท คือ หน่วยความจำหลัก และหน่วยความจำสำรอง
>หน่วยความจำหลัก จะแบ่งตามลักษณะการเก็บข้อมูลได้ ดังนี้
- หน่วยความจำแบบลบเลือนได้ คือ
ในกรณีที่ไฟฟ้าดับ ข้อมูลที่ถูกเห็บไว้จะหายหมด เรียกหน่วยความจำนี้ว่า แรม (Random Access Memory: RAM)
ที่มา : http://www.yupadeepai.com/unit034.php
- หน่วยความจำแบบไม่ลบเลือน คือ หน่วยความจำที่เก็บข้อมูลโดยไม่ขึ้นกับกระแสไฟฟ้า
แม้ไฟฟ้าจะดับข้อมูลก็ยังอยู่ เรียกหน่วยความจำนี้ว่ารอม (Read Only
Memory: ROM)
ที่มา : http://www.yupadeepai.com/unit034.php
>หน่วยความจำสำรอง
ใช้เพื่อให้คอมพิวเตอร์มีที่เก็บข้อมูลได้มากขึ้น ตัวอย่างหน่วยความจำสำรองได้แก่
- ฮาร์ดดิสก์ (Hard disk) เป็นอุปกรณ์ประเภทจานแม่หล็ก
จะแบ่งเป็นวงรอบ เรียกว่า แทรค ซึ่งจะเก็บข้อมูลเป็นวงรอบหลายๆวง
ถือได้ว่าฮาร์ดดิสก์เป็นอุปกรณ์หลักในการเก็บรักษาข้อมูลของคอมพิวเตอร์
ซึ่งสามารถจุข้อมูลได้มากและสามาระบันทึกข้อมูลทับได้หลายครั้ง
ที่มา : http://tipsyourcom.blogspot.com/2009_05_01_archive.html
- ยูเอสบีแฟลชไดรว์ (USB Flash Drive) เป็นอุปกรณ์ที่เก็บรักษาข้อมูลไว้ในชิปอิเล็กทรอนิกส์ทำให้มีลักษณะเบา
เล็ก สามารถเก็บรักษาได้ง่าย สามารถบันทึกข้อมูลได้หลายครั้ง
มีชื่อเรียกหลากหลายตามลักษณะของเครื่องหมายการค้าของบริษัที่ผลิต เช่น
แฮนดี้ไดรว์(Handy Drive) ทรัมป์ไดรว์(Trumb
Drive) และเพนไดรว์(Pen Drive)
ที่มา : http://www.speedcomputer.co.th/
4. หน่วยแสดงผลข้อมูล ได้แก่
- จอภาพ (Monitor) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ในรูปของข้อความ และรูปภาพ
จะแสดงผลในขณะท่คอมพิวเตอร์ทำงานอยู่
ซึ่งผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์จะค้นเคยมากที่สุด จะมี 2 ประเภท
คือ
1. จอภาพแบบนูนหรือจอซีอาร์ที (CRT) มีลักษณะเหมือนจอโทรทัศน์
2. จอภาพแบบแบนกรือจอแอลซีดี (LCD) มีลักษณะบางและแบนกว่าจอแบบนูน
มีรูปทรงสวยงามและทันสมัย
จอซีอาร์ที (CRT) จอแอลซีดี (LCD)
ที่มา : http://www.9engineer.com
- ลำโพง (Speaker) ทำหน้าที่แสดงผลในรูปแบบของข้อมูลเสียง
ที่มา : http://www.comseven.com
- เครื่องพิมพ์ (Printer)
ทำหน้าที่แสดงผลข้อมูลในรูปของสิ่งพิมพ์
เครื่องพิมพ์ที่นิยมใช้ปัจจุบันมี 4 ประเภท ได้แก่
1. เครื่องดอตเมทริกซ์ (Dot Matrix) เป็นเครื่องพิมพ์ประเภทแรกที่นำมาใช้กับคอมพิวเตอร์ มีขนาดใหญ่ เกิดเสียงดังขณะใช้งาน เครื่องพิมพ์มีลักษณะเป็นหัวเข็ม (pin) เมื่อต้องการพิมพ์สิ่งใดลงบนกระดาษ หัวเข็มที่อยู่ในตำแหน่งที่ประกอบกันเป็น ข้อมูลดังกล่าวจะยื่นลำหน้าหัวเข็มอื่น เพื่อไปกระแทกผ่านผ้าหมึกลงบนกระดาษ ก็จะทำให้เกิดจุดความคมชัดของข้อมูลบนกระดาษขึ้นอยู่กับจำนวนจุดถ้าจำนวนจุดยิ่งมากข้อมูลที่พิมพ์ลงบนกระดาษก็ยิ่งคมชัดมากขึ้น เครื่องพิมพ์ดอตเมตริกซ์ เหมาะสำหรับงานที่พิมพ์แบบฟอร์มที่ต้องการซ้อนแผ่นก๊อปปี้หลาย ๆ ชั้น เครื่องพิมพ์ชนิดนี้ใช้กระดาษต่อเนื่องในการพิมพ์ เครื่องพิมพ์ชนิดนี้จะยัง คงมีใช้อยู่ตามองค์กรราชการ
1. เครื่องดอตเมทริกซ์ (Dot Matrix) เป็นเครื่องพิมพ์ประเภทแรกที่นำมาใช้กับคอมพิวเตอร์ มีขนาดใหญ่ เกิดเสียงดังขณะใช้งาน เครื่องพิมพ์มีลักษณะเป็นหัวเข็ม (pin) เมื่อต้องการพิมพ์สิ่งใดลงบนกระดาษ หัวเข็มที่อยู่ในตำแหน่งที่ประกอบกันเป็น ข้อมูลดังกล่าวจะยื่นลำหน้าหัวเข็มอื่น เพื่อไปกระแทกผ่านผ้าหมึกลงบนกระดาษ ก็จะทำให้เกิดจุดความคมชัดของข้อมูลบนกระดาษขึ้นอยู่กับจำนวนจุดถ้าจำนวนจุดยิ่งมากข้อมูลที่พิมพ์ลงบนกระดาษก็ยิ่งคมชัดมากขึ้น เครื่องพิมพ์ดอตเมตริกซ์ เหมาะสำหรับงานที่พิมพ์แบบฟอร์มที่ต้องการซ้อนแผ่นก๊อปปี้หลาย ๆ ชั้น เครื่องพิมพ์ชนิดนี้ใช้กระดาษต่อเนื่องในการพิมพ์ เครื่องพิมพ์ชนิดนี้จะยัง คงมีใช้อยู่ตามองค์กรราชการ
2. เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก (Ink-Jet Printer) เครื่องพิมพ์พ่นหมึก
สามารถพิมพ์ตัวอักษรที่มีรูปแบบ และขนาดที่แตกต่างกันมากๆ รวมไปถึง
พิมพ์งานกราฟิกที่ให้ผลลัพธ์
คมชัดกว่าเครื่องพิมพ์ดอตแมทริกซ์เทคโนโลยีที่เครื่องพิมพ์พ่นเป็น
การพ่นหมึกหยดเล็กๆ ไปที่กระดาษ หยดหมึกจะมีขนาดเล็กมาก
แต่ละจุดจะอยู่ในตำแหน่งที่เมื่อประกอบกันแล้วจะเป็นตัวอักษร
หรือรูปภาพตามความต้องการการพิมพ์แบบนี้จะพิมพ์แบบซ้อนแผ่นก๊อปปี้ไม่ได้
แต่มีความสามารถพิมพ์ได้รวดเร็วและเสียงไม่ดัง
3. เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer) เครื่องพิมพ์ชนิดนี้อาศัยเทคโนโลยีไฟฟ้าสถิตเบบเดียวกันกับเครื่อง
ถ่ายเอกสารทั่วไปโดยลำแสงจากไดโอดเลเซอร์จะฉายไปยังกระจกหมุน
เพื่อสะท้อนไปยังลูกกลิ้งไวแสง
ซึ่งจะปรับตามสัญญาณภาพหรือตัวอักษรที่ได้รับจากคอมพิวเตอร์
และกวาดตามแนวยาวของลูกกลิ้งอย่างรวดเร็ว สารเคลือบที่อยู่บนลูกกลิ้งจะ
ไปทำปฎิกิริยากับแสงแล้วเปลี่ยนเป็นประจุไฟฟ้าสถิตซึ่งทำให้ผงหมึกเกาะติดกับพื้นที่ที่มีประจุเมื่อกระดาษพิมพ์หมุนผ่านลูกกลิ้ง
ความร้อนจะทำให้ผงหมึกหลอมละลาย ติดกับกระดาษได้ภาพหรือตัวอักษร
การพิมพ์ของเครื่องพิมพ์เลเซอร์เสียงจะไม่ดัง
4. พล็อตเตอร์ (plotter) พล็อตเตอร์
เป็นเครื่องพิมพ์ชนิดที่ใช้ปากกาในการเขียนข้อมูลต่างๆ
ลงบนกระดาษที่ทำมาเฉพาะงานเหมาะสำหรับงานเกี่ยวกับการเขียนแบบทางวิศวกรรม
และงานตกแต่งภายใน ใช้สำหรับวิศวกรรมและสถาปนิก
พล็อตเตอร์ทำงานโดยใช้วิธีเลื่อนกระดาษ
เครื่องพิมพ์ดอตเมตริกซ์ เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก
เครื่องพิมพ์เลเซอร์
พล็อตเตอร์
หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์ มี
4 ขั้นตอน ดังนี้
1.
รับข้อมูล (Input) คอมพิวเตอร์จะทำหน้าที่รับข้อมูลไปประมวลผล อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูล ได้แก่ แป้นพิมพ์ เมาส์ เครื่องสแกน เป็นต้น
2.
ประมวลผลข้อมูล (Process) เมื่อคอมพิวเตอร์รับข้อมูลเข้าสู่ระบบแล้วจะทำการประมวลผลตามคำสั่ง
หรือโปรแกรมที่กำหนด อุปกรณ์ทีทำหน้าที่ประมวลไผลได้แก่ CPU
3.
แสดงผลข้อมูล (Output) เมื่อทำการประมวลผลแล้ว
คอมพิวเตอร์จะแสดงผลลัพธ์ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการแสดงผลข้อมูลคือ
จอภาพและเครื่องพิมพ์ เป็นต้น
4.
จัดเก็บข้อมูล คอมพิวเตอร์จะทำการจัดเก็บข้อมูลลงในอุปกรณ์ที่เก็บข้อมูล
เช่น ฮาร์ดดิสก์ แผ่นซีดี แฟลชไดรว์
แสดงขั้นตอนการทำงานพื้นฐานของคอมพิวเตอร์
ฮาร์ดแวร์ภายในคอมพิวเตอร์
ฮาร์ดดิสก์
Hard Disk เป็นจานแม่เหล็กชนิดแข็ง สามารถบรรจุข้อมูลได้จำนวนมากระบบฮาร์ดดิสค์แตกต่างกับแผ่นดิสเกตต์
ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะมีจำนวนหน้าสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลมากกว่าสองหน้า
นอกจากระบบฮาร์ดดิสค์จะเก็บบันทึกข้อมูลเหมือนแผ่นดิสเกตต์ยังเป็นส่วนที่ใช้ในการอ่านหรือเขียนบันทึกข้อมูลเหมือนช่องดิสค์ไดรฟ์
แผ่นจานแม่เหล็กของฮาร์ดดิสค์ จะมีความหนาแน่นของการจุข้อมูลบนผิวหน้าได้สูงกว่าแผ่นดิสเกตต์มาก เช่น แผ่นดิสเกตต์มาตราฐานขนาด 5.25 นิ้ว ความจุ 360 กิโลไบต์ จะมีจำนวนวงรอบบันทึกข้อมูลหรือเรียกว่า แทร็ก(track) อยู่ 40 แทร็ก กรณีของฮาร์ดดิสค์ขนาดเดียวกันจะมีจำนวนวงรอบสูงมากกว่า 1000 แทร็กขึ้นไป ขณะเดียวกันความจุในแต่ละแทร็กของฮาร์ดดิสค์ก็จะสูงกว่า ซึ่งประมาณได้ถึง 5 เท่าของความจุในแต่ละแทร็กของแผ่นดิสเกตต์
แผ่นจานแม่เหล็กของฮาร์ดดิสค์ จะมีความหนาแน่นของการจุข้อมูลบนผิวหน้าได้สูงกว่าแผ่นดิสเกตต์มาก เช่น แผ่นดิสเกตต์มาตราฐานขนาด 5.25 นิ้ว ความจุ 360 กิโลไบต์ จะมีจำนวนวงรอบบันทึกข้อมูลหรือเรียกว่า แทร็ก(track) อยู่ 40 แทร็ก กรณีของฮาร์ดดิสค์ขนาดเดียวกันจะมีจำนวนวงรอบสูงมากกว่า 1000 แทร็กขึ้นไป ขณะเดียวกันความจุในแต่ละแทร็กของฮาร์ดดิสค์ก็จะสูงกว่า ซึ่งประมาณได้ถึง 5 เท่าของความจุในแต่ละแทร็กของแผ่นดิสเกตต์
เมนบอร์ด (Mainboard, mother board) หรือ แผงวงจรหลัก เป็นหัวใจสำคัญที่สุดที่อยู่ภายในเครื่อง เมื่อเปิดฝาเครื่องออกมาจะเป็นแผงวงจรขนาดใหญ่วางนอนอยู่
ซีพียู CPU
(Central Processing Units) หรือ หน่วยประมวลผลกลาง คือส่วนที่เรียกว่าเป็นหัวใจของเครื่องคอมพิวเตอร์นั่นเอง
เพราะการทำงานทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการคำนวณ การย้ายข้อมูล การตัดสินใจ
ล้วนเกิดขึ้นที่นี่ทั่งสิ้น เพียงแต่ว่าซีพียูจะต้องมีอุปกรณ์อื่น ๆ ทำงานร่วมด้วยเพื่อให้สามารถติดต่อกับ
โลกภายนอกได้นั่นก็คือการับข้อมูลและแสดงผลข้อมูล
ซีพียู Intel Pentium III ซีพียู Intel Celeron
แรม
(RAsssssM) ใช้เก็บข้อมูลโปรแกรมที่ใช้งานอยู่ชั่วคราว เพื่อรอส่งให้กับซีพียู แรม (RAM:
Random Access Memory หน่วยความจำเข้าถึงโดยสุ่ม
หรือหน่วยความจำชั่วคราว) เป็นหน่วยความจำหลัก
ที่ใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ยุคปัจจุบัน หน่วยความจำชนิดนี้
อนุญาตให้เขียนและอ่านข้อมูลได้ในตำแหน่งต่างๆ อย่างอิสระ และรวดเร็วพอสมควร
ซึ่งต่างจากสื่อเก็บข้อมูลชนิดอื่นๆ อย่างเทป หรือดิกส์
ที่มีข้อจำกัดในการอ่านและเขียนข้อมูล
ที่ต้องทำตามลำดับก่อนหลังตามที่จัดเก็บไว้ในสื่อ หรือมีข้อกำจัดแบบรอม
ที่อนุญาตให้อ่านเพียงอย่างเดียว ข้อมูลในแรม อาจเป็นโปรแกรมที่กำลังทำงาน หรือข้อมูลที่ใช้ในการประมวลผล
ของโปรแกรมที่กำลังทำงานอยู่ ข้อมูลในแรมจะหายไปทันที
เมื่อระบบคอมพิวเตอร์ถูกปิดลง เนื่องจากหน่วยความจำชนิดนี้
จะเก็บข้อมูลได้เฉพาะเวลาที่มีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงเท่านั้น
ซาวน์การ์ด (Sound Card) ตัวประมวลผลสัญญาณเสียงการ์ดเสียงในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน
2 ชนิด คือ แบบ FM Synthesis และแบบ
Wavetable Synthesis การ์ดเสียงแบบ FM Synthesis
นั้นเป็นการ์ดเสียงเทคโนโลยีเก่าที่มักจะใช้ชิพ OPL ของ YAMAHA ในการสร้างเสียง
ซึ่งการ์ดเสียงชนิดนี้จะใช้การสร้างเสียงจากการสังเคราะห์เสียง
หรือสร้างเสียงเลียนแบบเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ คุณภาพเสียงที่ได้อยู่ในชั้นดี
แต่ความสมจริงคงจะไม่มากนัก ขึ้นอยู่กับการออกแบบของการ์ดเสียงแต่ละตัว
ในปัจจุบันการ์ดเสียง ชนิดนี้ยังเป็นที่นิยมอยู่ เพราะมีราคาถูก ติดตั้งง่าย
เหมาะสำหรับใช้ในการเล่นเป็นครั้งคราวหรือใช้ในงานมัลติมีเดียทั่วๆ ไป
เพาเวอร์ซัพพลาย
(Power Supply) อุปกรณ์จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่างๆระบบไฟฟ้าของเพาเวอร์ซัพพลาย" ประสิทธิภาพและความมีเสถียรภาพของการทำงานเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่หลายๆ
คนต้องคิดถึง เมื่อต้องการประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์สักครั้งหนึ่ง
และอุปกรณ์ส่วนหนึ่งที่มีการกล่าวถึงกันนั้น คือพาวเวอร์ซัพพลาย (Power
Supply) ที่เปรียบเสมือนสายเลือดที่หล่อเลี้ยงร่างกายคนเรา
ซีดีรอมไดรว์ (CD-Rom
Drive) อุปกรณ์ใช้อ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีรอมไดรว์
ได้กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันไปแล้ว
เนื่องจากแผ่นซีดีรอมนั้นสามารถบันทึกข้อมูลได้ปริมาณมากและมีราคาถูก ซีดีรอมไดรว์จะมีให้เลือกทั้งแบบติดตั้งภายใน
และแบบติดตั้งภายนอก สำหรับรูปแบบการเชื่อมต่อหรือการอินเตอร์เฟสก็จะมีทั้งแบบ IDE และแบบ SCSI เช่นเดียวกับฮาร์ดดิสก์
นอกจากนี้ยังแบ่งเครื่องซีดีรอมออกเป็น 2 ชนิด คือ
ชนิดอ่านได้อย่างเดียว ได้แก่ ซีดีรอมไดรว์ทั่วไปกับซีดีรอมไดรว์ประเภทที่ทำได้ทั้งอ่านและเขียนแผ่นซีดี
ที่เรียกว่า ซีดีอาร์ ดับบลิว
ไดรว์ในเครื่องซีดีรอมรุ่นแรกสามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 1X คือ 150 กิโลไบต์ต่อวินาที และได้พัฒนาเรื่อยมาเป็น 2X,
3X, 4X จนในปัจจุบันสามารถส่งข้อมูลได้เร็วถึง 54 เท่าจากความเร็วเดิม มีหน่วยความจำขนาด 128KB สำหรับซีดีรอมไดรว์แบบ
IDE และขนาด 512 KB สำหรับซีดีรอมไดรว์แบบ
SCSI
การ์ดแสดงผล (Display Card) อุปกรณ์ทำหน้าที่นำสัญญาณภาพส่งให้กับจอภาพ
Display Card (การ์ดแสดงผล)หลักการทำงานพื้นฐานของการ์ดแสดงผลจะเริ่มต้นขึ้น
เมื่อโปรแกรมต่างๆ ส่งข้อมูลมาประมวลผลที่ ซีพียูเมื่อซีพียูประมวลผล เสร็จแล้ว
ก็จะส่งข้อมูลที่จะนำมาแสดงผลบนจอภาพมาที่การ์ดแสดงผล จากนั้น การ์ดแสดงผล
ก็จะส่งข้อมูลนี้มาที่จอภาพ ตามข้อมูลที่ได้รับมา การ์ดแสดงผลรุ่นใหม่ๆ
ที่ออกมาส่วนใหญ่ ก็จะมีวงจร ในการเร่งความเร็วการแสดงผลภาพสามมิติ
และมีหน่วยความจำมาให้มากพอสมควร
ประเภทของคอมพิวเตอร์
1. ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
(Supercomputer) เป็นคอมพิเตอร์ที่มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง
มีขนาดของความจำมาก ตั้งอยู่ในห้องที่สามารถปรับอุณหภูมิได้ การใช้งานคอมพิวเตอร์ประเภทนี้มักในงานวิจัย
เช่น การวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม การพยากรณ์อากาศ
และงานอื่นๆที่มีการคำนวณซับซ้อน
ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
ที่มา
: http://www.toptenthailand.com/display.php?id=576
2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (Mainframe Computer) เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพรองลงมาจากซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ท่สามารถเชื่อมโยงกับคอมพิวเตอร์ปลายทางได้จำนวนมาก
ทำให้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้พร้อมกันหลายร้อยคน จึงมักใช้ในองคืกรขนาดใหญ่
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์
ที่มา
: http://www.thaigoodview.com/node/10190
3. มินิคอมพิวเตอร์ (Minicomputer) เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดกลางที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าเมนเฟรมคอมพิวเตอร์
แต่สูงกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ มักพบในองค์กรที่ใช้งานเฉพาะด้าน เช่น
ประมวลผลงานบัยชี โดยนำไปเชื่อมต่อกับเครื่องปลายทางได้หลายคน
โดยมีการประมวลผลที่อยู่ส่วนกลาง แล้วส่งผลไปที่เครื่องปลายทาง
โดยที่เครื่องปลายทางไม่ต้องประมวลผลเอง
มินิคอมพิวเตอร์
ที่มา
: http://www.tsu.ac.th/cst/course/computer_it/lesson3/lesson3-3.html
4. ไมโครคอมพิวเตอร์
(Microcomputer) เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอย่างแพร่หลาย
ทีทั้งคอมพิวตอร์ส่วนบุคคลแบบตั้งโต๊ะ ซึ่งเหมาะกับการทำงานในสำนักงาน สถานศึกษา
ที่บ้าน หรือคอมพิวเตอร์แบบพกพาไปในสถานที่ต่างๆได้ เช่น
โน๊ตบุ๊ก เป็นต้น
คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค
ที่มา
: http://www.tsu.ac.th/cst/course/computer_it/lesson3/lesson3-3.html
การหาข้อมูลและราคาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์
สามารถเช็คได้จากเว็บไซด์ทั่วไป
ราคาจะมีการปรับเปลี่ยนไปตามต้นทุนที่เกิดจริง เว็บไซด์ที่สามารถเช็คราคาได้เช่น
http://www.jib.co.th/
http://tkcom99.com/
http://www.hwhinter.com/
http://www.jib.co.th/
http://tkcom99.com/
http://www.hwhinter.com/
http://www.jedicool.com/
http://www.mdcomputer.co.th
http://www.advice.co.th/
http://www.bigitshop.com
http://www.thanni.com/
http://www.mdcomputer.co.th
http://www.advice.co.th/
http://www.bigitshop.com
http://www.thanni.com/
เงื่อนไขในการเลือกซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์
เกือบทุกคนมีคอมพิวเตอร์ (พีซี) เป็นของตนเอง
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีพีซีที่ตรงกับความต้องการของตนเอง
เนื่องจากพีซีเป็นสินค้าที่มีราคาค่อนข้างแพง การตัดสินใจซื้อที่ผิดพลาดอาจทำให้คุณได้เครื่องพีซี
ที่เกินความจำเป็นหรือประสิทธิภาพที่ต่ำกว่าความต้องการจากนี้เราจะกล่าวถึงสิ่งที่ควรทราบขณะเลือกซื้อคอมพิวเตอร์
ข้อมูลในการเลือกซื้อที่ถูกต้อง และความผิดพลาดที่มักพบกับผู้ซื้อรายใหม่ราคาเทียบกับประสิทธิภาพคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีฟังก์ชั่นการทำงานและประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน
ซึ่งจะเห็นได้จากส่วนต่างราคาระหว่างคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐานและคอมพิวเตอร์ขั้นสูง
ศึกษาความต้องการของคุณเพื่อให้ได้คอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อฮาร์ดแวร์ที่ไม่จำเป็นเพิ่มเติม
เราสามารถช่วยคุณค้นหาพีซีที่เหมาะสำหรับคุณ ในขณะเดียวกันคอมพิวเตอร์ที่ลดราคามากเป็นพิเศษอาจมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอสำหรับความต้องการของคุณเช่นกัน
เนื่องจากคอมพิวเตอร์เหล่านี้มักเป็นรุ่นเก่าหรือใช้ส่วนประกอบราคาถูกหรือที่ล้าสมัย
การจ่ายเงินมากกว่าจึงอาจทำให้คุณได้พีซีที่มีประสิทธิภาพสูงกว่ามาก
การเปรียบเทียบราคา การตรวจสอบส่วนประกอบต่างๆ
และพิจารณาความต้องการของตนเองจะทำให้คุณได้พีซีที่ลงตัวทั้งในด้านราคาและประสิทธิภาพในการทำงาน
1. เรามีความต้องการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ให้ทำอะไรให้เราบ้าง เช่น ใช้พิมพ์เอกสาร เล่นเกม ทำงานด้านกราฟิกส์
ท่องอินเทอร์เน็ต
2.
ราคาเครื่อง ควรคำนึงถึงงบประมาณของเราหากใช้สำหรับงานทั่วไป
ราคาจะไม่แพงมาก แต่หากต้องใช้ด้านกราฟิกส์ ต้องใช้สเป็คเครื่องที่สูง
ราคาก็จะสูงตาม
3.
เลือกดูตามศูนย์ไอที ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่ขายเกี่ยวกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และสำนักงาน
สอบถามพนักงานขายแต่ละร้านเพื่อความเข้าใจที่ตรงกับความต้องการของเรา
4.
สเป็คเครื่อง ควรอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับสเป็คของเครื่องที่มีอยู่ในแผ่นพับ
แผ่นปลิว ของแต่ละบริษัท ซึ่งจะมีความแตกต่างกันทางด้านยี่ห้อ รุ่น ขนาด ความเร็ว
ความจุ หน่วยความจำ ของแถม
5.
การบริการหลังการขาย ข้อนี้มีความสำคัญอย่างมาก หากเครื่องมีปัญหา
และไม่มีบริการหลังการขาย เราจึงควรเลือกรูปแบบการบริการมีอยู่ 2 แบบคือ
5.1
การรับประกันสินค้าแบบรวมค่าแรง เมื่อเครื่องเสีย
ทางร้านจะส่งช่างมารับไปซ่อมจนเสร็จ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ
ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องที่มียี่ห้อและราคาค่อนข้างสูง
5.2
การรับประกันแบบไม่รวมค่าแรง หากเครื่องเสีย เราต้องยกเครื่องไปซ่อมเอง
ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องที่มีราคาถูก
6.
ระยะเวลาในการรับประกันสินค้า จะขึ้นอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์แต่ละชิ้น
ปกติจะมีการรับประกัน 1 ปี แต่ถ้าเป็นเครื่องที่มียี่ห้อ มีราคาแพง อาจรับประกันถึง 3 ปี
7.
รายละเอียดในการประกันชิ้นส่วนอุปกรณ์
7.1 ฮาร์ดดิสค์ (Harddisk) บริษัทผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงจะรับประกัน 3 ปี ถ้าเสียหายภายใน 1 เดือนแรกทางบริษัทจะเปลี่ยนฮาร์ดดิสค์ใหม่
แต่ไม่รวมถึงฮาร์ดดิสก์ไหม้เพราะเสียบแหล่งจ่ายไฟผิดขั้ว
หรือทำหล่นกระแทกอย่างรุนแรง
7.2
เมนบอร์ด (Mainboard) ส่วนใหญ่จะรับประกัน 1 ปี
แต่ไม่รวมถึงไหม้เพราะเสียบแหล่งจ่ายไฟผิดขั้ว เสียบการ์ดต่าง ๆ ลงไปอย่างแรง
ทำให้หักหรือสายวงจรขาด
7.3
ซีพียู (CPU) บริษัทผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงจะรับประกัน 3 ปี
7.4
หน่วยความจำ (Ram) หากราคาแพงจัดอยู่ในเกรดที่ดีจะรับประกันตลอดอายุการใช้งาน
แรมเกรดทั่วไปราคาจะถูกกว่ามาก รับประกันเพียง 1 ปี
7.5
ฟล็อปปี้ดิสก์ (Floppy Disk) หากมีราคาแพงรับประกัน 1 ปี ราคาถูกจะรับประกันเพียง 1
เดือน
7.6
ซีดีรอม (CD-ROM) รับประกันเพียง 1 ปี หากเสียหายหรือมีปัญหาใด ๆ
ให้ส่งทางร้านภายใน 15 วัน ทางร้านจะเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่
7.7
การ์ดจอและการ์ดเสียง (Video & Sound Card) รับประกัน 1
ปี ส่วนมากอุปกรณ์นี้มักไม่เสีย
ควรตรวจเช็คว่าเสียบการ์ดแน่นดีหรือเปล่า
8.
แหล่งจ่ายไฟ (Power Supply) รับประกัน 1
ปี ควรใช้ขนาด 250 W. เป็นอย่างต่ำ
เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาไฟไม่พอเมื่อต้องต่อพ่วงกับอุปกรณ์หลายชนิด
9.
ความคุ้มค่า ควรใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อย่างคุ้มค่าสมราคา
ไม่ควรเปิดทิ้งไว้หากไม่ได้ใช้ จะได้ช่วยประหยัดพลังงานของชาติได้อีกทางหนึ่ง
ส่วนประกอบต่อพ่วงและซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์สำเร็จรูปส่วนใหญ่จำหน่ายพร้อมซอฟต์แวร์และแอพพลิเคชั่นสำหรับอุปกรณ์ต่อพ่วง
เช่น ระบบปฏิบัติการ ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส เมาส์และแป้นพิมพ์
ตรวจสอบกับร้านค้าก่อนจัดซื้อเพื่อให้แน่ใจว่าคอมพิวเตอร์จำหน่ายพร้อมกับอุปกรณ์ต่อพ่วงใดบ้าง
จัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นและกำหนดงบประมาณให้ชัดเจนตามให้สอดคล้องกับอุปกรณ์ต่อพ่วง
เช่น เครื่องพิมพ์หรือสายต่อเสริมตามความเหมาะสม
คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ไม่ได้จำหน่ายพร้อมกับแอพพลิเคชั่นสำนักงานติดตั้งสำเร็จ ซึ่งคุณควรคำนึงถึงข้อนี้ไว้ด้วย
ส่วนประกอบของเครื่องส่วนประกอบต่างๆ จะต้องสามารถทำงานร่วมกันได้
การติดตั้งโปรเซสเซอร์รุ่นล่าสุดที่เร็วที่สุดโดยติดตั้ง RAM ไม่เพียงพออาจทำให้โปรแกรมทำงานช้ากว่าที่ควร
ตรวจสอบว่าส่วนประกอบต่าง ๆ สามารถรองรับการทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
เคสบางแบบอาจอัพเกรดได้ยาก
ศึกษาให้แน่ใจก่อนว่ากำลังเลือกซื้อสินค้าที่ต้องการจริงๆ
และสามารถอัพเกรดได้ในอนาคตหรือไม่ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับส่วนประกอบต่าง
ๆ
รองรับการทำงานในอนาคตการรองรับการทำงานในอนาคตในที่นี้หมายถึงการจัดซื้อหรือประกอบคอมพิวเตอร์ที่สามารถเรียกใช้แอพพลิเคชั่นขั้นสูงในอนาคต
โดยปกติคอมพิวเตอร์กลุ่มนี้จะมีราคาแพง ในระยะยาวขอแนะนำให้เลือกซื้อคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพคุ้มราคามากที่สุด
ในระยะยาวคอมพิวเตอร์กลุ่มนี้จะคุ้มค่ามากกว่าการอัพเกรดทุก 6 เดือนหรือการต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่
การบำรุงรักษาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เบื้องต้น
1. ไม่ควรตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ใกล้กับหน้าต่างที่มีแสงแดดและฝนสามารถเข้าถึงได้
2. ไม่ควรตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ในห้องที่มีอุณหภูมิร้อนจัด
3. ไม่ควรเปิดฝาเคสทิ้งไว้โดยไม่จำเป็น
4.ไม่ควรวางจอมอนิเตอร์ไว้ใกล้กับแหล่งที่มีสนามแม่เหล็กหรือห้ามนำเอาแม่เหล็กมาไว้ใกล้ๆกับหน้าจอมอนิเตอร์
5. ไม่ควรใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ในขณะที่สภาพอากาศมีฝนตกฟ้าร้องถ้าจำเป็นต้องใช้ควรต่อไว้กับเครื่องสำรองไฟ
(UPS)
6. ไม่ควรเปิดเครื่องทิ้งไว้เป็นเวลานานๆขณะที่เราไม่ได้ใช้งาน
7. ควรเปิดใช้โหมดประหยัดพลังงานเพื่อกำหนดสถานะการใช้งานต่างๆเช่นกำหนดว่าถ้าไม่มีการตอบสนองใดๆกับคีย์บอร์ดหรือเมาส์เป็นระยะเวลาหนึ่ง
ให้ปิดหน้าจอหรือเข้าโหมด Standby เพื่อถนอมอายุการใช้งานของเครื่อง
8. ไม่ควรวางแก้วน้ำไว้ใกล้กับบริเวณที่เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่
9. ไม่ควรปิดเครื่องโดยกดที่ปุ่มเพาเวอร์แต่ควรใช้คำสั่งปิด
(Shutdown/Turn Off) ผ่านระบบ Windows แทน
10. ควรใช้อุปกรณ์ที่ช่วยในการสำรองกระแสไฟฟ้าและรักษาระดับของแรงดันไฟฟ้าให้คงที่
เช่น UPS เป็นต้น (ข้อนี้ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญมากๆ)
ขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซด์
http://maprang1996.blogspot.com/2012/08/blog-post_12.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น